บทความไฟฉุกเฉิน Emergency Light

เครื่องไฟฉุกเฉินและป้ายไฟทางออกฉุกเฉิน: ความสำคัญและการเลือกใช้อย่างเหมาะสม

ในยุคที่ความปลอดภัยของคนในอาคารเป็นสิ่งสำคัญ การติดตั้งเครื่องไฟฉุกเฉินและป้ายไฟทางออกฉุกเฉินเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม โดยเฉพาะในสถานการณ์ฉุกเฉิน เช่น ไฟไหม้ น้ำท่วม หรือเหตุฉุกเฉินด้านความปลอดภัยอื่น ๆ ซึ่งเครื่องไฟฉุกเฉินและป้ายไฟจะช่วยนำทางและแจ้งเตือนให้คนในอาคารออกจากพื้นที่อย่างปลอดภัยและรวดเร็ว

เครื่องไฟฉุกเฉิน คืออะไร?

เครื่องไฟฉุกเฉินเป็นอุปกรณ์ไฟฟ้าที่ออกแบบมาเพื่อให้แสงสว่างในกรณีที่ไฟฟ้าหลักขัดข้อง โดยปกติจะทำงานอัตโนมัติเมื่อไฟฟ้าหลักดับและสามารถส่องสว่างนานหลายชั่วโมงตามมาตรฐานที่กำหนด เช่น 1-3 ชั่วโมง เพื่อให้คนในอาคารสามารถหาเส้นทางออกได้อย่างปลอดภัย

ป้ายไฟทางออกฉุกเฉิน คืออะไร?

ป้ายไฟทางออกฉุกเฉินเป็นป้ายที่ติดตั้งอยู่ในบริเวณสำคัญของอาคาร เช่น ห้องโถง ทางเดิน บันได และทางออกหลัก ซึ่งจะมีไฟส่องสว่างเพื่อชี้แนวทางออกในกรณีฉุกเฉิน ป้ายนี้ควรมีความชัดเจน อ่านง่าย และทนทานต่อสภาพแวดล้อมต่าง ๆ เพื่อให้ผู้ใช้สามารถมองเห็นและเข้าใจง่ายในเวลาที่จำเป็น

ความสำคัญของเครื่องไฟฉุกเฉินและป้ายไฟทางออกฉุกเฉิน

  1. เพิ่มความปลอดภัย: รองรับการขึ้นลงในพื้นที่อับ หรือในกรณีไฟดับ
  2. ลดความตื่นตระหนก: ช่วยให้คนในอาคารสามารถหาเส้นทางออกได้อย่างรวดเร็วและปลอดภัย
  3. เป็นไปตามกฎหมายและมาตรฐาน: การติดตั้งอย่างถูกต้องตามข้อกำหนดของหน่วยงานความปลอดภัย เช่น มอก. หรือ กองบังคับบัญชาไฟฟ้า

การเลือกใช้อุปกรณ์เครื่องไฟฉุกเฉินและป้ายไฟทางออกฉุกเฉินที่เหมาะสม

  • เลือกอุปกรณ์ที่ได้มาตรฐาน มอก. หรือมาตรฐานสากล เช่น CE, UL
  • เลือกความสว่างที่เพียงพอในพื้นที่ใช้งาน
  • คำนึงถึงความสามารถในการใช้งานต่อเนื่องอย่างน้อย 1-3 ชั่วโมง
  • ติดตั้งในตำแหน่งที่มองเห็นได้ชัดเจนและง่ายต่อการเข้าถึง
  • ควรมีการตรวจสอบและบำรุงรักษาเป็นประจำเพื่อความพร้อมใช้งานเสมอ

สรุป

เครื่องไฟฉุกเฉินและป้ายไฟทางออกฉุกเฉินเป็นอุปกรณ์สำคัญที่ช่วยเสริมสร้างความปลอดภัยในอาคาร ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ ติดตั้งอย่างถูกต้อง และดูแลรักษาอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้แน่ใจว่าจะสามารถใช้งานได้เต็มประสิทธิภาพในเวลาที่ต้องการ

 ป้ายไฟทางออกฉุกเฉิน: ความจำเป็นและการเลือกใช้อย่างมืออาชีพเพื่อความปลอดภัยสูงสุด

ในยุคปัจจุบัน ความปลอดภัยของผู้ใช้งานภายในอาคารเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่อาจละเลยโดยเฉพาะในสถานการณ์ฉุกเฉิน เช่น เกิดไฟไหม้ น้ำรั่วไหล หรือเหตุร้ายอื่น ๆ ที่อาจเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน การติดตั้งป้ายไฟทางออกฉุกเฉินจึงเป็นอีกหนึ่งมาตรการที่สำคัญและจำเป็น เพื่อให้บุคคลภายในอาคารสามารถอพยพออกจากพื้นที่ได้อย่างรวดเร็วและปลอดภัย

ความสำคัญของป้ายไฟทางออกฉุกเฉิน

  1. นำทางในเวลาระดับวิกฤติ: เป็นสัญลักษณ์ที่ชัดเจน ทำให้ทุกคนสามารถมองเห็นและตัดสินใจเดินไปยังทางออกได้ทันที
  2. สร้างความมั่นใจและลดความตื่นตระหนก: ป้ายไฟที่ชัดเจนและสว่างเพียงพอ สร้างความเข้าใจและความมั่นใจในทางออก ทำให้การอพยพเป็นไปอย่างเป็นระเบียบ
  3. ปฏิบัติตามกฎหมายและมาตรฐานสากล: การติดตั้งป้ายไฟฉุกเฉินเป็นข้อกำหนดที่กฎหมายกำหนดไว้ในหลายประเทศ รวมถึงประเทศไทย ตามมาตรฐาน มอก. และกฎระเบียบด้านความปลอดภัยอาคาร

ทำไมป้ายไฟทางออกฉุกเฉินจึงมีความจำเป็น?

  • รองรับการดับไฟและเหตุการณ์คาดไม่ถึง: ในสถานการณ์ที่แสงสว่างลดลงหรือไฟดับ ป้ายไฟช่วยให้เส้นทางออกสามารถมองเห็นได้ชัดเจน
  • ลดความเสี่ยงต่ออุบัติเหตุ: ช่วยป้องกันการบาดเจ็บหรือการเกิดอุบัติเหตุจากการเดินทางในทางที่ไม่แน่นอน
  • สนับสนุนการอพยพในเวลาจำกัด: ในสถานการณ์ฉุกเฉิน การมีป้ายไฟที่สมบูรณ์และอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม เพิ่มความรวดเร็วในการอพยพออกจากอาคาร

การเลือกใช้งานป้ายไฟทางออกฉุกเฉินอย่างมืออาชีพ

  1. เลือกผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการรับรองมาตรฐาน: ควรเลือกป้ายไฟที่ได้รับการรับรอง มอก. หรือมาตรฐานสากล เช่น CE, UL เพื่อความมั่นใจในคุณภาพและความปลอดภัย
  2. พิจารณาความสว่างและระยะมองเห็น: ควรมีความสว่างเพียงพอในสภาพแวดล้อมที่มืดหรือเวลาที่ไฟดับ
  3. ติดตั้งในตำแหน่งที่เหมาะสม: ควรอยู่ในจุดที่มองเห็นได้ชัดเจนจากทุกมุมของห้องหรืออาคาร และสามารถมองเห็นได้ในทุกช่วงเวลาที่มีการเคลื่อนย้าย
  4. ดูแลและบำรุงรักษาเป็นประจำ: ตรวจสอบความสมบูรณ์ของไฟและความสามารถในการใช้งานอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้มั่นใจว่าพร้อมใช้งานในยามฉุกเฉิน

สรุป

ป้ายไฟทางออกฉุกเฉินเป็นอุปกรณ์พื้นฐานที่ช่วยสร้างความปลอดภัยและอำนวยความสะดวกในการอพยพในสถานการณ์ฉุกเฉิน หากเลือกใช้อย่างถูกวิธีและได้รับการดูแลอย่างดี จะเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยชีวิตและลดความเสี่ยงจากเหตุฉุกเฉินต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

สำหรับผู้ประกอบการ เจ้าของอาคาร หรือนักออกแบบความปลอดภัย แนะนำให้เลือกป้ายไฟที่มีคุณภาพ ได้มาตรฐาน และติดตั้งในตำแหน่งที่เหมาะสม เพื่อความปลอดภัยและความเชื่อมั่นของทุกชีวิตในอาคาร

ไฟฉุกเฉินแบบรวมศูนย์ (Central Battery): ความจำเป็นและการเลือกใช้งาน

ไฟฉุกเฉินคืออะไร?

ไฟฉุกเฉิน (Emergency Lighting) คือระบบแสงสว่างสำรองที่ทำงานอัตโนมัติเมื่อระบบไฟฟ้าหลักขัดข้อง ช่วยให้ผู้คนสามารถอพยพได้อย่างปลอดภัยในกรณีฉุกเฉิน เช่น ไฟไหม้, ไฟดับ, หรืออุบัติเหตุทางไฟฟ้า

ในยุคที่ความปลอดภัยในอาคารถือเป็นมาตรฐานสำคัญ ระบบไฟฉุกเฉินจึงไม่ใช่ "ทางเลือก" แต่เป็น"ความจำเป็น"โดยเฉพาะในอาคารสำนักงาน, โรงพยาบาล, ห้างสรรพสินค้า, โรงเรียน หรือโรงงานอุตสาหกรรม

ไฟฉุกเฉินแบบรวมศูนย์ (Central Battery) คืออะไร?

ระบบไฟฉุกเฉินแบบรวมศูนย์ หรือCentral Battery System เป็นระบบที่ใช้แบตเตอรี่ขนาดใหญ่เพียงชุดเดียวในการจ่ายไฟให้กับไฟฉุกเฉินทุกดวงในอาคาร แทนการใช้แบตเตอรี่เฉพาะแต่ละดวงเหมือนในระบบทั่วไป (Self-contained)

ส่วนประกอบหลักของระบบ Central Battery:

  • แบตเตอรี่ส่วนกลาง (Central Battery Bank)
  • ตู้ควบคุมระบบ (Control Panel)
  • สายส่งและตู้จ่าย (Distribution Units)
  • โคมไฟฉุกเฉิน (Emergency Luminaires)

ข้อดีของระบบ Central Battery

  1. บำรุงรักษาง่าย – ตรวจเช็คแบตเตอรี่เพียงจุดเดียว ไม่ต้องดูแลแต่ละดวง
  2. อายุการใช้งานยาว – แบตเตอรี่ส่วนกลางมักเป็นชนิดที่ทนทาน เช่น VRLA หรือ LiFePO₄
  3. ความปลอดภัยสูง – ควบคุมการทำงานแบบศูนย์กลาง ลดโอกาสเกิดความผิดพลาด
  4. ตอบโจทย์อาคารขนาดใหญ่ – เหมาะกับอาคารที่มีระบบไฟฉุกเฉินหลายจุด
  5. สามารถติดตั้งระบบตรวจสอบอัตโนมัติ (Self-test system) ได้สะดวก

ความจำเป็นของไฟฉุกเฉินในอาคาร

ตามกฎหมายไทยเช่นพระราชบัญญัติควบคุมอาคารและมาตรฐานการออกแบบอาคารของวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย (วสท.)การติดตั้งไฟฉุกเฉินในอาคารสาธารณะถือเป็นข้อบังคับ เพื่อ:

  • ป้องกันความเสียหายจากอุบัติเหตุ
  • รองรับการอพยพฉุกเฉิน
  • สร้างความเชื่อมั่นต่อผู้ใช้อาคาร

การเลือกใช้งานระบบไฟฉุกเฉินแบบ Central Battery

เหมาะกับใคร?

  • อาคารที่มีขนาดใหญ่หรือมีหลายชั้น
  • อาคารที่ต้องการระบบควบคุมแบบรวมศูนย์
  • องค์กรที่มีงบประมาณสำหรับการลงทุนระยะยาว

ปัจจัยในการเลือก:

  1. ขนาดของระบบ – ขึ้นอยู่กับจำนวนโคมและระยะเวลาการทำงานที่ต้องการ
  2. ชนิดของแบตเตอรี่ – เช่น AGM, GEL หรือ Lithium
  3. มาตรฐานที่รองรับ – เช่น EN 50171, ISO, มอก. 1102-2538
  4. ฟังก์ชันเสริม – ระบบ Monitoring, Self-test, Remote control
  5. ผู้ผลิตและบริการหลังการขาย – ควรเลือกแบรนด์ที่มีชื่อเสียงและมีทีมซัพพอร์ตในประเทศ

สรุป

ไฟฉุกเฉินแบบรวมศูนย์ (Central Battery System) เป็นโซลูชันที่เหมาะสำหรับองค์กรหรืออาคารที่ต้องการระบบไฟฉุกเฉินที่มีประสิทธิภาพสูง ควบคุมง่าย และลดภาระในการบำรุงรักษาเมื่อเลือกใช้ร่วมกับแบรนด์ที่เชื่อถือได้และทีมช่างที่มีความชำนาญ ระบบนี้จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างความปลอดภัยที่มั่นคงของอาคารคุณ

 

 

มาตรฐานความปลอดภัยของไฟฉุกเฉินและป้ายไฟทางออกฉุกเฉินในอาคาร

ทำไมไฟฉุกเฉินและป้ายทางออกฉุกเฉินถึงสำคัญ?

ในสถานการณ์ฉุกเฉิน เช่นไฟไหม้, ไฟฟ้าดับ, หรือเหตุการณ์ภัยพิบัติ, ความสามารถในการอพยพคนออกจากอาคารอย่างปลอดภัยและรวดเร็วเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่ง ระบบไฟฉุกเฉิน (Emergency Lighting) และป้ายไฟทางออกฉุกเฉิน (Exit Signs) จึงถือเป็นองค์ประกอบหลักของมาตรฐานความปลอดภัยในอาคารทั้งภาครัฐและเอกชน

ไฟฉุกเฉินและป้ายไฟฉุกเฉินต้องเป็นไปตามมาตรฐานอะไร?

1. มาตรฐาน มอก. (ไทย)

  • มอก. 1102-2538 – มาตรฐานโคมไฟฟ้าฉุกเฉิน
  • มอก. 1955-2551 – มาตรฐานป้ายแสดงทางหนีไฟ
  • มอก. 2430-2552 – การทดสอบระบบแสงสว่างฉุกเฉิน

2. มาตรฐานสากล (International Standards)

  • IEC 60598-2-22 – มาตรฐานโคมไฟฉุกเฉินที่ใช้กับแรงดันต่ำ
  • ISO 7010 – สัญลักษณ์ความปลอดภัยที่ใช้ในป้ายแสดงทางออก
  • EN 1838 – มาตรฐานการออกแบบความสว่างและแสงสว่างฉุกเฉิน
  • NFPA 101 (Life Safety Code) – จากสหรัฐอเมริกา ใช้ในโรงแรม/โรงงานขนาดใหญ่

องค์ประกอบของระบบที่ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน

1. ระบบแหล่งจ่ายไฟสำรอง

  • ต้องสามารถเปิดใช้งานอัตโนมัติเมื่อไฟฟ้าหลักดับ
  • ต้องให้แสงสว่างได้อย่างน้อย90 นาทีตามมาตรฐาน มอก. และ NFPA

2. ความสว่างของโคมไฟฉุกเฉิน

  • ความสว่างเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า1 ลักซ์บริเวณเส้นทางหนีไฟ
  • พื้นที่บันไดหรือทางลาดต้องมีความสว่างเพิ่มขึ้นเพื่อความปลอดภัย

3. ป้ายไฟทางออกฉุกเฉิน

  • ต้องมองเห็นได้ชัดเจน ทั้งในเวลากลางวันและกลางคืน
  • มีลูกศรชี้ทิศทาง พร้อมข้อความ “ทางออก” หรือ “EXIT”
  • ต้องติดตั้งในตำแหน่งที่ชัดเจน เช่น เหนือประตู หน้าทางเดิน ทางแยก

4. ระบบตรวจสอบและบำรุงรักษา

  • ต้องสามารถตรวจสอบสถานะได้ (บางระบบมี Self-Test)
  • มีการตรวจสอบตามรอบเวลาที่กำหนด เช่น รายเดือน / รายปี
  • ควรบันทึกข้อมูลการบำรุงรักษาไว้เป็นหลักฐาน

ข้อกำหนดการติดตั้งไฟฉุกเฉินและป้ายไฟ

ตามประกาศของกรมโยธาธิการและผังเมือง (ประเทศไทย) รวมถึงข้อบังคับของกฎหมายควบคุมอาคาร, การติดตั้งไฟฉุกเฉินและป้ายทางออกฉุกเฉินถือเป็น "ข้อบังคับ" สำหรับอาคารที่เข้าข่าย ดังนี้:

  • อาคารที่มีพื้นที่เกิน 1,000 ตร.ม.
  • อาคารสาธารณะ เช่น โรงพยาบาล โรงเรียน โรงแรม ห้างสรรพสินค้า
  • อาคารสำนักงานสูงเกิน 23 เมตร
  • โรงงาน และอาคารเก็บวัตถุอันตราย

ประโยชน์ของการติดตั้งไฟฉุกเฉินตามมาตรฐาน

✅ เพิ่มความปลอดภัยให้กับชีวิตและทรัพย์สิน
✅ ลดความเสี่ยงทางกฎหมาย หากเกิดอุบัติเหตุ
✅ เพิ่มความเชื่อมั่นในอาคาร ต่อผู้ใช้งาน พนักงาน และลูกค้า
✅ ผ่านการตรวจสอบจากหน่วยงานราชการได้ง่าย
✅ สามารถใช้เป็นเหตุผลในการลดเบี้ยประกันในบางกรณี

วิธีเลือกไฟฉุกเฉินและป้ายไฟให้ได้มาตรฐาน

  1. ✅ เลือกผลิตภัณฑ์ที่ผ่านมาตรฐาน มอก. หรือ IEC
  2. ✅ มีใบรับรอง และใบตรวจสอบคุณภาพจากผู้ผลิต
  3. ✅ เลือกแบรนด์ที่น่าเชื่อถือ และมีบริการหลังการขาย
  4. ✅ ใช้ผู้รับเหมาติดตั้งที่เข้าใจระบบความปลอดภัยในอาคาร
  5. ✅ ตรวจสอบความเข้ากันได้ของระบบไฟฉุกเฉินแบบSelf-contained หรือCentral Battery System

สรุป

ระบบไฟฉุกเฉินและป้ายไฟทางออกฉุกเฉิน ไม่ใช่แค่ “ของตกแต่ง” แต่คือหัวใจของความปลอดภัยในอาคารทุกประเภท การออกแบบและติดตั้งระบบเหล่านี้ให้เป็นไปตามมาตรฐาน เช่นมอก., IEC, EN หรือ NFPA จะช่วยลดความเสี่ยง เพิ่มความมั่นใจ และสร้างความปลอดภัยให้กับทุกชีวิตในอาคารของคุณ

 


มาตรฐานไฟฉุกเฉินและป้ายทางออกฉุกเฉินในอาคาร | ความปลอดภัยที่ต้องมี DYNO, SUNNY, MAX BRIGHT C.E.E.
มาตรฐานไฟฉุกเฉินและ EXIT SIGN | www.ไฟฉุกเฉินราคาส่ง.com

ไฟฉุกเฉินและป้ายทางออกฉุกเฉินต้องเป็นไปตาม มอก. และมาตรฐานสากล เพื่อความปลอดภัยในอาคาร

/มาตรฐาน-ไฟฉุกเฉิน
/มาตรฐาน-exit-sign
/emergency-lighting-standard

  • มาตรฐานไฟฉุกเฉิน
  • ป้ายทางออกฉุกเฉิน
  • มอก. ไฟฉุกเฉิน
  • กฎหมายไฟฉุกเฉินในอาคาร
  • มาตรฐาน NFPA 101
  • มาตรฐาน EN 1838
  • Exit Sign มาตรฐาน
  • ระบบไฟฉุกเฉินในโรงงาน / ห้างสรรพสินค้า
  • วิธีติดตั้งไฟฉุกเฉินให้ถูกกฎหมาย
  • มาตรฐาน มอก. ไฟฉุกเฉินในอาคารสูง

ไฟฉุกเฉิน (Emergency Light)
จุดประสงค์การใช้ทำงาน ไฟฉุกเฉินคือ ใช้เป็นเครื่องมือให้แสงสว่างในกรณีที่ไฟฟ้าดับ โดยเครื่อง
จะส่องสว่างอัตโนมัติ เพื่อให้หน่วยงานมีแสงสว่างในเวลากลางคืน

หลักการทำงานของไฟฉุกเฉินคือ
เป็นอุปกรณ์ที่เก็บพลังงานไฟฟ้าไว้ในแบตเตอรี่ ซึ่งแบตเตอรี่จะมี 2 แบบ คือ แบบชนิดเติมน้ำ
กลั่น และชนิดแห้งไม่ต้องเติมน้ำกลั่น และเมื่อไฟฟ้าดับจะใช้ไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ไป On หน้า Contact
ของ Relay และจะทำให้หลอดไฟสว่างเมื่อมีกระแสไฟฟ้าจ่ายให้ไฟฉุกเฉินก็จะมีวงจรลดแรงดันไฟฟ้า
และแปลงกระแสไฟฟ้าให้เป็นกระแส DC เพื่อประจุให้แบตเตอรี่และมีวงจร Off หน้า Concat relay เพื่อ
ไม่ให้หลอดไฟสว่าง

ขั้นตอนการใช้งานที่ถูกต้อง
ก่อนใช้งาน
- ควรศึกษาคู่มือการใช้งานแต่ละยี่ห้อให้เข้าใจ
- การติดตั้งไฟฉุกเฉิน ควรคำนึงถึงชนิดของแบตเตอรี่ของไฟฉุกเฉินนั้น ๆ เช่นถ้าแบตเตอรี่
แบบเติมน้ำกลั่น ควรจะติดตั้งบริเวณทางเดินหรือที่โล่ง หรือพื้นที่ที่มีการระบายอากาศเป็น
อย่างดีเพราะตลอดเวลาที่มีการประจุไฟฟ้าเข้าแบตเตอรี่จะมีไอตะกั่วระเหยออกมาเป็น
อันตรายต่อระบบทางเดินหายใจถ้านำไปติดตั้งในห้องที่มีอากาศถ่ายเทไม่เพียงพอ ในห้องที่มี
อากาศถ่ายเทไม่ดีหรือห้องที่เป็นระบบปิดควรติดตั้งไฟฉุกเฉินแบบชนิดแบตเตอรี่แห้ง
ระหว่างการใช้งาน
- ถ้าเป็นแบตเตอรี่แบบเติมน้ำกลั่นต้องตรวจสอบระดับน้ำกลั่นทุก ๆ 1 เดือน
- ทดสอบการใช้งานว่าเครื่องสามารถใช้งานได้ตามปกติหรือไม่โดยกดปุ่ม test ทุก ๆ 1 เดือน ว่าหลอดไฟติดหรือไม่ ถ้าเป็นรุ่นที่ไม่มีปุ่ม test ให้ถอดปลั๊กไฟฟ้า
- ถ้าไฟดับในเวลากลางวัน แล้วมีใครปิดสวิทซ์ เพื่อไม่ให้หลอดไฟสว่างเมื่อไฟฟ้าจ่ายเป็นปกติ แล้วให้เปิดสวิทซ์เพราะมิเช่นนั้น ไฟฉุกเฉินจะไม่ประจุไฟเข้าแบตเตอรี่
- ควรให้แบตเตอรี่มีการคายประจุไฟฟ้าจนหมดเพื่อยืดอายุการใช้งานของแบตเตอรี่โดยเปิด เครื่องทิ้งไว้ประมาณ 6 เดือนต่อครั้ง

การบำรุงรักษาไฟฉุกเฉิน
- ทำความสะอาดดวงโคม ทุก 2 สัปดาห์
- ตรวจสอบระดับน้ำกลั่น เติมน้ำกลั่น ทุก 1 เดือน
- ทดสอบการทำงานของเครื่อง test เครื่อง ทุก ๆ 1 เดือน
- คายประจุแบตเตอรี่ให้หมด ทุก ๆ 6 เดือน

ข้อควรระวังในการใช้งานไฟฉุกเฉิน
1. ไม่ควรติดตั้งไฟฉุกเฉินชนิดแบตเตอรี่แบบเติมน้ำกลั่น ไว้บริเวณที่มีอากาศถ่ายเทไม่ดีเพราะจะทำ ให้ไอตะกั่วระเหยกระจายในอากาศ เป็นอันตรายต่อระบบทางเดินหายใจ
2. การติดตั้งไฟฉุกเฉิน ต้องมั่นคงแข็งแรง เพราะแบตเตอรี่จะมีน้ำหนักมากอาจจะร่วงหล่นเป็นอันตรายได้
3. ควรเสียบปลั๊กไฟฟ้าเพื่อประจุไฟฟ้าให้แบตเตอรี่เต็มอยู่เสมอ พร้อมใช้งานตลอดเวลาเมื่อไฟฟ้าปกติดับ

อ้างอิงตามมาตรฐานของวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ฉบับใหม่ล่าสุด ปรับปรุงเมื่อปี 2551 ข้อกำหนดที่ต้องพิจารณาในการติดตั้งให้เป็นไปตามมาตรฐาน

ขอสรุปประเด็นหลักๆเป็นข้อๆ ดังนี้

1. แหล่งจ่ายไฟฟ้าแสงสว่างให้ใช้โคมที่จ่ายไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ สามารถประจุกลับเข้าไปใหม่ได้เองโดยอัตโนมัติ ไม่อนุญาตให้ใช้เครื่องกำเนิดไฟฟ้าเป็นแหล่งจ่ายไฟให้กับโคมไฟฟ้าฉุกเฉิน

2. ต้องให้ความสว่างติดต่อกันนานไม่น้อยกว่า 90 นาที (สำหรับอาคารขนาดใหญ่พิเศษ อาคารสูง ตามที่กฎหมายกำหนด และสถานพยาบาล ต้องมีความส่องสว่างติดต่ิอกันนานไม่น้อยกว่า 120 นาที

3. โคมไฟฟ้าฉุกเฉินต้องติดตั้งจากพื้นไม่น้อยกว่า 2 เมตร โดยวัดจากพื้นถึงด้านล่างของโคมไฟฟ้าฉุกเฉิน กรณีติดตั้งต่ำกว่า 2 เมตร จะต้องไม่กีดขวางเส้นทางหนีภัย

4. ระดับความสว่างเพื่อการหนีภัย โดยที่เส้นกึ่งกลางของทางหนีภัยต้องไม่น้อยกว่า 1 ลักซ์

5. พื้นที่เก็บอุปกรณ์ดับเพลิง อุปกรณ์แจ้งเหตุ และอุปกรณ์ปฐมพยาบาล ความส่องสว่างในแนวระดับที่พื้น ต้องไม่น้อยกว่า 15 ลักซ์ ในรัศมีจากตำแหน่งติดตั้งอุปกรณ์ (จากข้อนี้ผมตีความว่าจริงๆแล้วทางหนีไฟภายในพื้นที่ก็ต้องมีความส่องสว่างไม่น้อยกว่า 15 ลักซ์ เนื่องจากเรามีการติดตั้งอุปกรณ์ดับเพลิงและอุปกรณ์แจ้งเหตุไว้)

6 นอกจากพิจารณาถึงความส่องสว่างภายในพื้นที่แล้ว โคมไฟฟ้าฉุกเฉินจะต้องเพิ่มเติมในจุดต่างๆ เหล่านี้ อันได้แก่

  • หน้าป้ายทางออกชนิดส่องสว่างจากภายนอกหรือบริเวณทางออก
  • ทางแยก ให้ติดตั้งโคมไฟฟ้าฉุกเฉินห่างจากทางแยกไม่เกิน 2 เมตรในแนวระดับ
  • ให้ติดเพิ่มเติมที่จุดแจ้งเหตุเพลิงไหม้ จุดติดตั้งอุปกรณ์ดับเพลิง และอุปกรณ์ปฐมพยาบาล
  • ติดเพิ่มเติมในส่วนของห้องเครื่อง ห้องควบคุม ห้องต้นกำลัง ห้องสวิตช์ และบริเวณใกล้กับอุปกรณ์ควบคุมการจ่ายไฟแสงสว่างปกติและไฟฟ้าแสงสว่างฉุกเฉิน
  • ห้องน้ำให้ติดตั้งในห้องน้ำทั่วไปที่มีพื้นที่มากกว่า 8 ตารางเมตร และห้องน้ำสำหรับคนพิการ

ขอขอบพระคุณบทความดีๆจาก http://safetyenvi.blogspot.com/

Visitors: 65,052,680